งัยเบ็นทม แซนโฎนตา
ประวัติประเพณีแซนโฎนตา
เอกลักษณ์ของอาภรณ์น่าจะอยู่ที่ ที่เรียกว่า อาวเก๊บ เสื้อผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมด้วยลูกมะเกลือสีดำทึบ แซมลวดลายสีจัดจ้าน ที่หญิงชายสวมใส่ อาวเก๊บ ... เป็นการตัดเย็บด้วยมือล้วน ๆ เริ่มแต่การทอซึ่งจะทอให้มีลายอยู่ในตัวเรียกว่า ลายลูกแก้ว นำมาย้อมด้วสีที่ได้จากผลมะเกลือ ผสมสมุนไพรเพื่อกลิ่นหอม ประมาณ 10-15 ครั้ง และจะมีการนึ่งผ้าระหว่างการย้อม โดยจะย้อมประมาณ 5-6 ครั้ง แล้วนึ่งครั้งหนึ่งสลับกันไป เพื่อให้ผ้าที่ได้สีดำสนิท ติดทนนาน สมัยก่อนจะนำไปหมักโคลนแล้วเหยียบผ้าในโคลน ซึ่งจะช่วยทำให้เนื้อผ้านิ่ม คนลาวมักเรียกว่า ผ้าเหยียบ การเย็บตะเข็บผ้าแต่ละด้านให้ต่อกันเป็นตัวเสื้อ คอแขน ภาษาถิ่นเขมรเรียกว่า เทอแซว คือการเย็บหรือถักตะเข็บลายตีนตะขาบ ด้วยเส้นไหมหลากสี ด้านข้างของตัวเสื้อทั้งสองฝั่ง จะเหลือไว้ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ให้เหมือนเสื้อผ่าด้านล่าง เพื่อถักต่อติดกระเป๋าและชายตัวเสื้อ ด้วยลายขามดแดงและลายขามดแดงเดินเส้น ปักดอกพิกุลระหว่างลายทั้งสองเพื่อความสวยงาม
ที่มา : https://sites.google.com/site/waliniyothi/pra-wati-saendon-ta
![]() |
แซนโฎนตา |
ประวัติประเพณีแซนโฎนตา
"เมื่อก่อนใครจะมารับราชการที่ขุขันธ์ ต้องนำหม้อกับผ้าขาวติดตัวมาด้วย เอาไว้ใส่กระดูกกลับบ้าน เพราะมันกันดาร"
เป็นคำกล่าวถึง อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ในอดีต ... แม้ปัจจุบันเอง เชื่อว่าชื่อนี้คงไม่เคยผ่านหูผ่านตาใครอีกหลาย ๆ คน แต่โบราณบริเวณแถบนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนชาวกวยและเขมร ซึ่งเรียกรวมว่า เขมรป่าดง มีชุมชนสำคัญคือ บ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ปรากฏชื่อในประวัติศาสตร์มาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เมื่อ ตากะจะ หัวหน้าชุมชน ทำความดีความชอบตามจับพญาช้างเผือก จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นหลวงแก้วสุวรรณ ก่อนจะยกฐานะบ้านปราสาทสี่เหลี่ยมโคกลำดวน ขึ้นเป็นเมืองขุขันธ์ในกาลต่อมา และหลวงแก้วสุวรรณได้เลื่อนเป็น พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์คนแรก
มีการยุบย้ายทำเลที่ตั้ง สลับสับเปลี่ยนไปตามการแบ่งเขตการปกครองในแต่ละยุคสมัย สุดท้ายในปี พ.ศ.2481 เปลี่ยนชื่อจังหวัดขุขันธ์ เป็นจังหวัดศรีสะเกษ และเปลี่ยนชื่ออำเภอห้วยเหนือ เป็นอำเภอขุขันธ์ มาถึงปัจจุบัน ความเป็นเมืองเก่าแก่ จึงทำให้มีคนไทยหลากหลายเชื้อหลายภาษา ทั้งเขมร ลาว เยอ จีน กวย ฯลฯ ซึ่งมีขนบประเพณีวิถีวัฒนธรรมต่างกันไป หนึ่งในนั้นคือ ประเพณีแซนโฎนตา ของคนไทยเชื้อสายเขมรซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้
แซนโฎนตา เปรียบได้กับ บุญสารท ของคนไทย ภาษาเขมรเรียก บนผจุมเบ็ญ แห่บายตะเบิ๊ดตะโบร หรือบุญเดือน 10 ซึ่งเป็นการทำบุญประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ ซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่สมัยขอมโบราณ เพื่ออุทิศกุศลบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ซึ่งอยู่รับโทษตามอกุศลกรรมที่ทำไว้ในอบายภูมิ เชื่อว่าในรอบ 1 ปี จะได้รับโอกาสให้ขึ้นไปรับบุญกุศลจากลูกหลานญาติพี่น้องได้ 1 ครั้ง ในเดือน 10 ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงแรม 15 ค่ำ ซึ่งลูกหลานจะได้เตรียมสำรับอาหารข้าวต้มขนมหวาน ผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้หลายอย่าง รอคอยอยู่ที่บ้าน
![]() |
เครื่องสักการะ |
ในวันแรม 13 ค่ำ ลูกหลานจะทำความสะอาดบ้านเรือน เตรียมเครื่องสักการะ เช่น ข้าวตอก ดอกไม้ น้ำอบน้ำหอม เครื่องนุ่งห่มสวยงาม ไปจนกระทั่งแก้วแหวนเงินทองของมีค่า ไว้ให้โดนตาสวมใส่ ส่วนเครื่องเซ่นไหว้ก็จะเป็นอาหารหวานคาว พืชผักผลไม้ ข้ามต้มขนมหลายอย่างซึ่งขาดไม่ได้ เช่น ข้าวต้มหมู, ข้าวต้มกล้วย, ข้าวต้มด่าง ลักษณะเหมือนบ๊ะจ่างไม่ไม่เครื่อง, ข้าวต้มมะพร้าว ใช้กะทิสดคลุกข้าวสารเหนียวที่แช่น้ำพอนิ่ม เคล้าเกลือแล้วห่อด้วยใบมะพร้าว, ขนมเทียน, ขนมเข่ง, กระยาสารท ใส่กระทงพุ่มแหลม ทำกรวยใบตองครอบปักไข่ต้มไว้บนยอด ฯลฯ
รุ่งเช้าอีกวันถัดมา จะจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้บวงสรวงไว้อย่างเรียบร้อย วางขันน้ำลอยดอกไม้ให้บรรพบุรุษล้างหน้าล้างตา ล้างมือเท้าไว้ที่ประตูทางเข้า พร้อมทำพิธีเชื้อเชิญดวงวิญญาณปู่ย่าตาทวด บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว โดยกล่าวชื่อและนามสกุล ลูกหลานญาติพี่น้องที่อยู่ในบริเวณก็จะช่วยกันเรียกขานเท่าที่จะจดจำได้ ส่วนที่จำไม่ได้ก็จะเรียกรวมว่า โดนตา ซึ่งหมายถึงบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วในอดีตทุกรุ่นทุกวัยนั่นเอง บอกกล่าวแจกแจงรายการของเครื่องเซ่นของไหว้โดยละเอียด ก่อนจะกรวดน้ำลงภาชนะหน้าเครื่องเซ่นไหว้ประมาณ 2-3 ครั้ง โดยอนุมานว่า ญาติแต่ละคนมาต่างภพภูมิ จากหลายทิศหลายทาง ระยะทางไกลใกล้ต่างกัน ลูกหลานจึงต้องเรียกเชิญหลายครั้งเพื่อผู้เดินทางมาล่ากว่าจะได้ไม่เก้อเขิน ทิ้งระยะไว้สักชั่วเวลาหนึ่งเหมือนให้โดนตาอิ่มหนำสำราญ จึงกรวดน้ำอีกครั้งเป็นการลา แล้วจึงนำอาหารเหล่านั้นมารับประทานร่วมกัน
![]() |
แซนโฎนตา |
ในวันแรม 15 ค่ำ จะมีการแห่บายตะเบิ๊ดตะโบร เพื่อไปทำบุญที่วัด โดยไม่ลืมที่จะเชิญโดนตาไปด้วย จะมีการเตรียมอาหารใส่กระบุง และทำกรวยใบตองใส่ข้าวเหนียวนึ่ง ปิดปากกรวยด้วยเงินเหรียญ แล้ววางกรวยลงในถ้วย คล้องด้วยฝ้าย 1 ไจ ยอดกรวยมีเทียนไข 1 เล่ม ซึ่งหลังเสร็จพิธีจะรวบรวมแล้วนำไปทอเป็นผืนเพื่อถวายพระสำหรับใช้ทำผ้าอาบน้ำฝน รอบถ้วยจะจัดวางกล้วยน้ำว้า ข้าวต้มด่างและของอื่น ๆ ในพิธีอีก 2-3 อย่าง อีกส่วนจะเย็บกระทงเล็ก ๆ ประมาณ 20-30 กระทง เพื่อใส่ข้าวเหนียวของกินไว้สำหรับโดนตาเรียกว่า บายเบ็ญ ส่วนสำรับอาหารและข้าวของที่จะนำถวายพระจะเรียกว่า บายตะเบิ๊ดตะโบร
พิธีการก็จะคล้ายกับการทำบุญเลี้ยงพระเพื่ออุทิศส่วนบุญให้กับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว แต่จะทำก่อนฟ้าสาง มีการแห่รอบพระอุโบสถ 3 รอบ บูชาพระ รับศีล พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ก็จะถวายข้าวพระพุทธ ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ แล้วนำสิ่งของที่เตรียมมาถวายพระสงฆ์ ส่วนกระทงเล็ก ๆ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ก็จะนำไปวางตามทางสามแพร่ง โคนไม้ หัวไร่ปลายนา นัยว่าเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารต่อไป
ถึงเวลาส่งโดนตากลับ ลูกหลายจัดอาหารเซ่นบอก โดยให้นำเอาโรคาพยาธิต่าง ๆ ไปด้วย ทิ้งไว้แต่ความสุขความเจริญ แล้วนำเสบียงอาหารใส่ลงในเรือซึ่งทำจากกาบกล้วย ตรึงด้วยสลักไม้ไผ่ ทำหุ่นสมมุติวางไว้ท้ายแทนโดนตา เพื่อเดินทางกลับแล้วค่อยกลับมาพบกันใหม่ในปีต่อไป เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการแซนโฎนตา
เดิมประเพณีแซนโฎนตา จะทำกันภายในครอบครัว แต่ปัจจุบันได้ส่งเสริมให้เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัดสุรินทร์ เผื่อเผยแพร่ให้คนต่างถิ่นได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม ซึ่งถือปฎิบัติกันมาเป็นเวลาช้านาน ทั้งยังเป็นการส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว ให้คนรู้จักบ้านเมืองนี้ควบคู่กันไปอีกทาง เสน่ห์และความงดงามน่าจะตกไปอยู่ที่เครื่องแต่งกายซึ่งผู้ร่วมขบวนสวมใส่ ผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า โสร่งโจงกระเบน ที่คนสมัยใหม่ว่าโบราณบ้านนอก แต่นั่นทอจากไหมชั้นดีฝีมือชาวบ้าน
![]() |
อาวเก๊บ |
ส่วนกระดุมแต่เดิมจะใช้กระดุมที่ทำจากเงินพดด้วง เรียกว่า ปรักดม ซึ่งจะบ่งบอกถึงฐานะของผู้สวมใส่ สำหรับคนที่มีฐานะด้อยกว่าก็จะใช้วัสดุต่างออกไป หรือร้อยเชือกผูกเอาไว้ อาวเก๊บเป็นสินค้าที่มีราคาต่อตัวหลักพัน ฝรั่งต่างเมืองสั่งไปขายจนชาวบ้านย่านนี้ทอส่งกันแทบไม่ทัน แต่คนไทยเราเองกลับแทบจะไม่รู้จักเลยก็ว่าได้
ผ้านุ่งก็จะทอด้วยลวดลายหลากหลาย ทั้งลายลูกแก้ว ลายสมอ ลายสกู ลายกระเนียม ฯลฯ นำมาต่อหัวผ้านุ่งเรียกว่า กะบาลซัมป๊วด ต่อเชิงผ้าเรียกว่า ปะโปร จะมี ผ้าสะเลิ๊ก ทอจากฝ้ายต่อที่ปลายปะโปรอีกที เพื่อให้ผ้าไหมทิ้งตัวยิ่งขึ้น สำหรับผู้ชายจะนุ่งโสร่งเป็นพื้น แต่ถ้าเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลก็จะสวมโจงกระเบน ให้เห็นว่าต่างกันอย่างชัดเจน ขบวนแซนโดนตา จะมาทำพิธีกันที่บริเวณหน้าอุนสาวรีย์พระยาไกรภักดีศรีนครลำดวน ร่วมกันทั้งหมด เสร็จสิ้นพิธีก็จะมีการแจกจ่ายอาหาร ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่า เป็นของมงคลจากบรรพบุรุษ
![]() |
แซนโฎนตา |
เกล็ดความรู้
โดนตา สะกดด้วย ด เป็นภาษาขอมดั้งเดิมซึ่งไม่มีตัว ฎ ส่วนโฎนตา ที่สะกดด้วย ฎ เป็นภาษาเขมรล่างหรือกลุ่มชนที่อยู่ในประเทศเขมร การแยกเขมรบนกับล่าง จะใช้เทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นพรมแดนไทย-เขมร เป็นตัวแบ่ง เขมรบน หรือ แขมลือ และ เขมรล่าง หรือ แขมกรอม
ที่มา : https://sites.google.com/site/waliniyothi/pra-wati-saendon-ta
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น